Sitemap

รีวิว Paperform อย่างจริงใจ หลังใช้จริงมาแล้ว 1+ ปี

3 min readJun 21, 2024

--

ตอนแรกก็ตะขิดตะขวงใจนิดหน่อย ที่จะต้องจ่ายเงินเดือนละเป็นพันเพื่อใช้เครื่องมือสร้างฟอร์ม หลังจากใช้ Google Form แบบฟรีๆ มาตลอด แต่ด้วยความที่อยากจะลองทำอะไรใหม่ๆ เพื่อให้ทุกคนที่ใช้ฟอร์มของเรา สบายตา สบายใจ ง่ายสำหรับลูกค้า และ ได้ผลดีทางธุรกิจสำหรับเรา ก็เลยคิดว่าจะลองใช้ Paperform ดูสักเดือน

รีวิว Paperform อย่างจริงใจ หลังใช้ทำธุรกิจจริงมาแล้ว 1+ ปี

Paperform นี่ดีไหม?

ตอนนี้ใช้ Paperform มาเกิน 1 ปีแล้ว และตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ไปตลอด Paperform คือฟอร์มที่ดีที่สุดที่เคยใช้มา สวย เรียบง่าย ดีกับการสร้างแบรนด์ UX และ CRO เหมือนได้ยกธุรกิจไปอีกขั้น เชื่อมต่อกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น Google Sheet หรือ Convertkit ที่เราใช้ทำ Email Marketing ได้อย่างลื่น ไม่เคยล่ม กระทั่งฟอร์มที่ปิดรับสมัครไปแล้ว ก็ยังสามารถทำโฟลวเพื่อพาคนที่หลงเข้าไป มาเป็นลูกค้าเราต่อได้ ในบทความนี้เดี๋ยวจะยกตัวอย่างให้ฟังทั้งสิ่งที่เราชอบ และสิ่งที่ควรระวัง

มีส่วนลด 10% จาก Paperform แจกให้ท้ายบทความนี้ด้วยนะ :))

4+ เหตุผล ที่ทำให้ Paperform สุดจัด สำหรับธุรกิจ

1. UX ดี โชว์แค่สิ่งที่คนต้องเห็น

นี่ไม่ชอบมากๆ เวลาคลิกเข้าไปเห็นฟอร์มที่ยาวแสนยาว มีช่องมากมายที่เราไม่จำเป็นต้องกรอกก็ได้ ไม่รู้จะใส่มาทำไม ทำให้เหนื่อยตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็จะล้มเลิกความตั้งใจไปตั้งแต่ตอนนั้น

พอทำธุรกิจเองก็เลยอยากจะสร้างฟอร์มที่เรียบง่ายที่สุด ให้คนเห็นแต่สิ่งที่จำเป็น เพื่อที่จะได้โฟกัสกับการให้ข้อมูลได้อย่างดีที่สุด ซึ่ง Paperform ทำได้ ด้วยฟีเจอร์ Question visibility logic

Geek: การให้คนเห็นแค่สิ่งที่จำเป็น ทำให้ฟอร์มสั้นลง คนกรอกสำเร็จมากขึ้น นี่เรียกว่า UX ที่ดี ช่วยเรื่อง CRO (Conversion Rate Optimization)​ สำคัญมากๆ สำหรับการทำธุรกิจและการตลาด

ตัวอย่างเช่น ในฟอร์มที่เราทำให้คนสมัครเรียน เฉพาะคนที่เลือกขอใบกำกับภาษีเท่านั้นที่จะได้เห็นช่องให้กรอกข้อมูล และเลือกช่องทางการรับ ส่วนคนที่ไม่รับใบกำกับภาษีก็จะข้ามขั้นตอนนี้ไปเลย เรียบง่ายกว่ามาก

หน้าจอการตั้งค่าเมนู Question visibility logic ใน Paperform และหน้าบ้านที่คนเห็นข้อมูลจำเป็นที่ต่างกันในแต่ละเวอร์ชัน
ตัวอย่างการตั้งค่าใน Paperform เพื่อให้ UX ดีขึ้น

2. Paperform Analytics วิเคราะห์ข้อมูลได้ดี

Paperform มีเครื่องมือที่ข้อมูลวิเคราะห์เบื้องต้นได้ดีเลย ดูว่าคนคลิกมาดูฟอร์มเท่าไหร่ กรอกเบื้องต้นมากี่คน สำเร็จกี่คน จะได้รู้ว่าคนสะดุดตรงไหน เราจะปรับยังไงให้ฟอร์มดีขึ้นได้บ้าง

แถมถ้าคนกรอกข้อมูลติดต่อเอาไว้ แต่ไม่ได้กดส่งฟอร์ม เราก็จะเห็นข้อมูลเพื่อติดต่อไป Follow-up ได้ด้วย

Paperform Analytics ทำให้เราตัดสินใจทางธุรกิจได้ดีขึ้น อย่างมีโปรแกรมนึงที่ปล่อยมาแต่เห็นคนสมัครน้อยเกินคาด พอมาดูจริงๆ ก็เห็นว่าคนคลิกมาดูเยอะมาก แต่พอเห็นว่าโปรแกรมนี้ให้ชำระเงินได้ด้วยแค่บัตรเครดิตอย่างเดียวก็เลยออกจากฟอร์มไป ทำให้หลังจากนั้นทุกคอร์สที่เปิด มีทั้งจ่ายบัตรและเงินสดด้วย

ตัวอย่างหน้าจอของ Paperform Analytics
ตัวอย่างหน้าจอของ Paperform Analytics

3. ดีไซน์ฟอร์มได้อิสระมากกว่า Google Form และสวยมาก

ก่อนหน้านี้ใช้ Google Form พยายามเปลี่ยนสี เปลี่ยนฟอนต์ยังไง มันก็ออกมาดูแปร่งๆ ตา ไม่สวยถูกใจ เทียบกับ Paperform ที่มันดูดีไปหมด และปรับได้ละเอียดกว่ามากๆ ถึงรูปแบบขอบมุมของปุ่มที่ส่งฟอร์มเลย

เปรียบเทียบการตั้งค่าดีไซน์และผลที่ออกมา ระหว่าง Paperform กับ Google Form
เปรียบเทียบตัวเลือกการดีไซน์ Paperform กับ Google Form

ดีไซน์ที่สวยนี้ไม่ได้แค่สบายตาอย่างเดียว ยังดีกับ

  • Accessibility เช่นการปรับฟอนต์ให้อ่านง่าย มีขนาดที่เห็นชัดเจน ช่วยให้คนที่มองเห็นยาก ใช้จอเล็ก ก็ใช้ฟอร์มเราได้ง่าย
  • UX ให้คนใช้งานง่าย ไม่เบื่อ ไม่งงว่าต้องไปไหนต่อ หรือต้องทำไปอีกนานแค่ไหน
  • Branding ดีกับการสร้างแบรนด์ให้คนรู้จัก เพราะสามารถเลือก CI ที่ตรงกับแบรนด์ได้เลย

Geek: CI และ Branding เป็นเรื่องสำคัญ พูดง่ายๆ คือ ทำให้คนเห็นสีนี้ ตัวหนังสือนี้ แล้วนึกถึงเรา เช่น Foodpanda สีชมพู ส่วน Grab สีเขียว เพราะทุกช่องทางการตลาดใช้เหมือนกัน แบรนด์ที่ดีทำให้คนจำได้ ไว้ใจ และยังช่วยเรื่อง SEO ด้วย

4. ตั้ง Theme ใน Paperform ที่เดียว ใช้ไปได้ตลอด ประหยัดเวลา

ด้วยความที่มีตัวเลือกในด้านดีไซน์หลากหลาย พอเราเข้าไปตั้งค่าหลายจุดให้สวยงามถูกใจแล้ว ก็คงจะไม่อยากทำอีกรอบ เจ้า Paperform นี่ก็ให้เรากด Import Theme จากฟอร์มที่เราสร้างเอาไว้ มาใช้ที่ฟอร์มใหม่ได้เลย ในคลิกเดียว

หน้าจอการเลือก Theme และ Template ของ Paperform
การเลือก Theme และ Template ของ Paperform

เวลาเราใช้ Google Form แล้วขี้เกียจตั้งค่าฟอนต์ใหม่ เรามักจะเข้าไปฟอร์มเดิม A > กดคัดลอก > ได้ฟอร์ม B ที่เหมือนกัน > ลบคำถามเดิมออกจากฟอร์ม B > เปิดฟอร์มใหม่ > เช็คการตั้งค่าตรงอื่นๆ ว่ามีอะไรติดมาแล้วเราไม่ชอบหรือเปล่า > เริ่มใส่คำถามลงฟอร์มใหม่ ใช้ Paperform ประหยัดเวลาไปได้เยอะมากกกกกก

ข้อดีอื่นๆ ของ Paperform

  • เชื่อมกับอะไรได้ง่าย อย่างของเราเชื่อมกับ Convertkit ทำ Email Marketing ได้ราบรื่น คนกรอกฟอร์มเสร็จได้อีเมลยืนยัน + ขั้นตอนต่อไปทันที จัดการได้ละเอียด แล้วก็เชื่อมกับ Google Sheet ได้โดยตรง ทำงานง่ายมาก Integrate เยอะมากๆ
  • ชอบ Page Break เพราะว่าแบ่งหน้าได้ ทำให้แต่ละหน้าข้อมูลไม่เยอะเกิน ซึ่ง Google Form ก็ทำได้ แต่ไม่สวยเท่า
  • ทำ Heading ในตัวหนังสือได้ละเอียด ทำให้เน้นข้อความให้คนอ่านได้ง่าย แถมยังใส่คำอธิบายใต้คำถามได้ ในขณะที่ Google Form ใส่คำอธิบายไม่ได้ และปรับตัวหนังสือต่างๆ ได้แค่ตัวหนา เอียง เท่านั้น
  • ตั้ง custom URL ได้ ดูดีกับแบรนด์ดิ้ง ดีกับ SEO และน่าเชื่อถือมากกว่า Google Form เป็นอย่างมาก เช่น ฟอร์มลงทะเบียนล่วงหน้าของเราคือ https://coursewaitlist.paperform.co/ แทนที่จะเป็นลิงก์ตัวหนังสือมั่วๆ ยาวๆ แบบ Google Form
  • สาย SEO “ตั้ง Title/Descriptions ให้เอาไปโชว์ใน Google ได้ด้วย ถ้าคนเสิร์ชหาฟอร์มนี้เฉพาะก็อาจเจอนะ
  • ผูกกับ Stripe เพื่อชำระเงินได้ ทำ Subscriptions ได้ (ถ้าจ่ายเงินบนฟอร์มเลยจะใช้ได้แค่บัตรเครดิต) ไม่เหมาะกับสายแมส แต่ของแพงๆ ที่ลูกค้ามีบัตรเครดิตแน่ ก็คือสะดวกมาก ทำระบบคำนวณราคา และคูปองส่วนลดในนี้ได้หมด
  • Custom หน้าปิดฟอร์มได้ คนเข้ามาแทนที่จะเห็นว่าฟอร์มปิดเฉยๆ ก็เห็นข้อมูลได้ว่าจะต้องไปไหนต่อ เช่น ตัวอย่างฟอร์มรับสมัครคอร์สเก่าที่เคยทำไว้ พอปิดแล้ว ต่อให้คนเข้ามาก็จะมีช่องทางไปดูคอร์สใหม่ๆ ต่อได้ แถมตั้งค่าปิดฟอร์มตามเวลาที่กำหนด หรือเมื่อคนกรอกครบตามจำนวนก็ได้ด้วย
ตัวอย่างหน้าปิดฟอร์มของ Paperform
ตัวอย่างหน้าปิดฟอร์มของ Paperform

Personal Tips การใช้ Paperform ที่ไม่ชอบเท่าไหร่

  • อย่าตั้งค่าวันหมดอายุฟอร์ม ให้มาดูเอง เพราะเราเคยตั้งค่าไว้ แล้วฟอร์มปิดเองก่อนวันที่ตั้งค่า 7 วัน น่าจะเป็น Bug ที่เดี๋ยวเค้าคงแก้ แต่ก็เอาชัวร์ไว้ก่อน เมจะเลี่ยงใช้ตัวนี้
  • พอหยุดจ่ายเงินแล้วฟอร์ม​ (อาจ) พัง อยากให้เป็นหยุดจ่ายแล้วสร้างของใหม่ ปรับของเดิมไม่ได้ แต่ฟอร์มก็ใช้ได้อยู่มากกว่า แต่ก็ถือซะว่าได้จ่ายเงินซัพพอร์ตเครื่องมือดีๆ ให้อยู่ต่อไป ดังนั้นถ้าฟอร์มยัง Active อยู่ ก็จะต้องจ่ายเงินรายเดือนไปตลอด

สรุป Paperform คุ้มไหมกับค่าใช้จ่ายรายเดือน?

เครื่องมือที่ดีอย่าง Paperform นั้นคุ้มมากกกก คือช่วยให้เราทำงานได้เร็ว มีประสิทธิภาพขึ้น คุณภาพดีขึ้น เอาเวลาไปทำสิ่งที่มีมูลค่าสูงกว่า เช่น เขียนบทความใหม่ ดูแล Branding หรือพัฒนาตัวเอง นอกจากนี้ยังช่วยให้ Conversion Rate สูงขึ้น คนเข้ามาแล้วกรอกฟอร์มจริง ง่ายกว่าการไปหาคนใหม่ๆ ให้เข้ามาในฟอร์มเราตลอด จึงเป็นฟอร์มที่เราจะใช้ไปตลอด แล้วก็อยากชวนให้ทุกคนมาใช้ด้วยกัน

Paperform VS Google Form อันไหนดีกว่า?

เทียบกันแล้ว Google Form ดีตรงฟรี ส่วน Paperform นั้นดีกว่าทั้งในด้านการดีไซน์ UX การตั้งค่าที่หลากหลาย การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัว Analytics รับเงิน จ่ายเงิน เรียกว่าครบเครื่องมากๆ สำหรับธุรกิจ

Paperform ตัวฟรี มีไหม?

Paperform ไม่มีแพลนฟรี แต่มีส่วนลด 10% อยู่ และด้วยประโยชน์นั้นแล้ว คุ้มค่ามากๆๆ กับการจ่ายเงิน ให้ฟอร์มดีๆ สำหรับธุรกิจสักอัน

ส่วนลด Paperform

คลิกไปสมัครด้วยลิงก์นี้ คุณจะได้ส่วนลด 10% ตลอดไปทุกเดือนเลยยย แล้วเราก็จะได้ส่วนลด 10% เช่นกันด้วย :))

สงสัยตรงไหนเพิ่ม คอมเมนท์บอกไว้ได้เลย เราจะคอยมาดูเรื่อยๆ ถ้าสิ่งนี้มีประโยชน์เราก็หวังว่าคุณจะแชร์มันต่อไป หรือกดติดตามกันไว้ จะได้เห็นบทความต่อไป ที่มาไม่บ่อย แต่สัญญาว่าอร่อยทุกครั้ง 🤍

--

--

Chalakorn Berg
Chalakorn Berg

Written by Chalakorn Berg

Foodie. Digital Nomad. SEO Consultant. Writer. Marketer. https://chalakornberg.com/

No responses yet